วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
สภ. กะทู้ รณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100% ลดอุบัติเหตุตราจรในเมืองท่องเที่ยว
เมื่อเวลา 14.00 น. วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ที่สนามฟุตบอลเทศบาลเมืองป่าตอง พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงษ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานในพิธีเปิด รณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100% “ตามโครงการรณรงค์สมหมวกนิรภัยในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต100%” โดยมี นายศิริพัฒ พัฒกุล นายอำเภอกะทู้ นายเปี่ยน กี่สิ้น นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง พ.ต.อ. อารยะพันธ์ พุกบัวขาว ผู้กำกับสถานีภูธรเมืองกะทู้ และคณะผู้บริหารสมาชิกเทศบาลเมืองป่าตองและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมกว่า1,500คน
พ.ต.อ. อารยะพันธ์ กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลป่าตอง มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติหลั่งไหลกันเข้ามาท่องเที่ยวในปีหนึ่งๆนับหลายล้านคน ปัญหาการจราจรก็เพิ่มมากขึ้น การควบคุมดูแลแก้ไขปัญหาจราจรให้กับประชาชนให้นักท่องเที่ยวให้เกิดความปลอดภัยในขณะใช้รถใช้ถนน ก็มีความยุ่งยากมากขึ้น จำนวนยานพาหนะที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่สมดุลกับผิวจราจร ซึ่งในปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตมีรถรวมทุกประเภทประมาณ 297,645 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถจักรยานยนต์จำนวน208,183 คัน เฉลี่ยประชาชน 1คน ต่อรถ1 คันสูงสุดในประเทศไทย
ซึ่งสถิติในการเกิดอุบัติเหตุปรากฏว่ามีอัตราการบาดเจ็บและตาย จากอุบัติเหตุจราจรสูงอยู่ที่อันดับ 1-5 ของประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปี บาดเจ็บ 33-35 คน/วัน เสียชีวิต 15-16คน/เดือน การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เทียบได้กับนักเรียนปีละ 4ห้องเรียน คิดเป็นมูลค่าเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณปีละ 1,355-1,492 ล้านหรือประมาณวันละ 3.7-4ล้านบาท ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดกับจักรยานยนต์ ทั้งนี้สถานีตำรวจภูธรกะทู้ ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหานี้เป้นอย่างมาก จึงได้ร่วมหารือกับคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ หรือ กต.ตร.สถานีตำรวจภูธรกะทู้เพื่อแก้ไขปัญหาได้ลดอุบัติเหตุการจราจรบนท้องถนนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียชีวิต จากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ซึ่งในแต่ละปีเกิดขึ้นสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ และผู้ซ้อนท้ายก็มีอัตราเสี่ยงต่อการสูญเสียเท่ากัน และจากการวิเคราะห์พบว่า อุบัติเหตุจราจรในปัจจุบันเกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบสูงมาก
ข้อมูลจาก..ส.ปชส.ภูเก็ต
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น